Sunday, December 13, 2015

-Part 3- DreamTrips Romania : โรมาเนีย ประเทศในฝันที่ไม่ได้มีแค่ตำนานแดรกคูล่า

Part3 : เดินลาดตะเวนกรุงบูคาเรสต์ เมืองหลวงของโรมาเนีย ในวันแดดอ่อน ลมเย็นๆ

สวัสดีครับ ผม"เจ้าชายกบ" มารายงานตัวใน Part3 ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและคิดตามเรื่องราวการเดินทางท่องเที่ยวของเรานะครับ คราวนี้มาต่อช้าไปนิด เพราะภาระกิจเยอะจริงๆ สำหรับ 3 ตอนแรก กดอ่านย้อนได้ตาม link นะครับ

-Prologue-
http://vacationrightaway.blogspot.com/2015/11/romania.html?m=1
-Part1-
http://vacationrightaway.blogspot.com/2015/11/romania-part1.html?m=1
-Part2-
http://vacationrightaway.blogspot.com/2015/12/part2-romania.html

และนี่คือแผนการท่องเที่ยววันนี้ของเรา (29OCT)
  • ตื่นเช้ามากิน Breakfast ให้อิ่ม
  • เดินจากโรงแรมเพื่อไปยัง Palace of the Parliament โดยผ่าน Old town 
  • เดินเล่นรอบๆใจกลางเมือง ตามเวลาที่เหลือ
  • กลับมาที่โรงแรมเพื่อร่วม Welcome Dinner
7 โมงเช้า วิวจากระเบียงห้อง

*มารู้จักกรุงบูคาเรสต์กันคร่าวๆหน่อยก่อนนะครับ บูคาเรสต์ (București : บูคูเรชติ ในการเรียกแบบโรมาเนีย) เป็นเมืองหลวงของประเทศโรมาเนีย ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ , บูคาเรสต์มีระบุไว้ในประวัติศาสตร์มาตั้งแต่ปี 1459 และขึ้นเป็นเมืองหลวงของโรมาเนียในปี 1862 เป็นเมืองมีจุดเด่นและเป็นศูนย์กลางของระบบสื่อสารมวลชน วัฒนธรรมและศิลปะ มีสถาปัตยกรรมหลายรูปแบบ ที่รวม สถาปัตยกรรมประวัติศาสตร์แบบนีโอคลาสสิก สถาปัตยกรรมหลังสงครามแบบอาร์ตเดโคแบะเบาเฮาส์ และจนมาถึงแบบโมเดิร์นในปัจจุบัน  ความงามด้านสถาปัตยกรรมของเมืองทำให้เมืองมีชื่อเล่นว่า ปารีสน้อยแห่งตะวันออก (Micul Paris) และถึงแม้อาคารหลายหลังในศูนย์กลางประวัติศาสตร์จะถูกทำลายในช่วงสงครามโลกและแผ่นดินไหวใหญ่ช่วยปลายศตวรรตที่18 และการปรับปรุงโครงสร้างเมืองของนายนิโคไล เชาเชสกู อดีตผู้นำคอมมิวนิสต์ แต่ก็มีอาคารสวยงามหลงเหลืออยู่มากมาย ในปัจจุบัน กรุงบูคาเรสต์มีความเจริญทางด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันมีประชากรราวๆ 2 ล้านคน 
เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 6 ของสหภาพยุโรป และเป็นหนึ่งในศูนย์กลางด้านอุตสาหกรรมและการขนส่งของยุโรปตะวันออก*

แพลนของเราวันนี้ อาจจะดูเหมือนง่อยๆ  แต่จริงๆไม่นะ คือเนื่องจากว่า โรงแรมที่เราพักนั้น  มันอยู่ใจกลางเมืองมากๆอยู่แล้ว ใครที่จะมาเที่ยวที่กรุงบูคาเรสต์ เราแนะนำว่าที่ InterConinental คือสะดวกที่สุดกับคนที่ชอบเดินเที่ยว เพราะสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆต่างๆที่คนไปกันก็อยู่ในระยะทางที่เดินได้ทั้งหมด DreamTrips เค้าเลยจัดเรามาอยู่ที่นี่ (โรงแรมอีกหลายที่ในย่าน University Square ที่เราว่าสะดวก เช่น Ramada แต่ก็ไม่เท่าที่นี่.. ฟันธง) เราเลยไม่แพลนอะไรให้มันรัดตัวนัก โดยกะว่า วันนี้เก็บเอาแค่จุดใหญ่ๆพอ ได้เท่าไหนเอาเท่านั้น เพราะเรายังมีอีก 1 วันเต็มตอนท้าย ที่จะกลับเข้ามาที่บูคาเรสต์อีกถ้ายังเก็บไม่ครบ แพลนเราจึงดูเหมือนจะโล่งๆอย่างที่เห็น .. แต่!!! มันไม่โล่งนะครับ  อะ ตามข้าพเจ้ามาแล้วกัน 

เราตื่นมาตอนประมาณ 7 โมง อาบน้ำแต่งตัวแล้วก็ลงไปห้องอาหารเช้าที่ชั้น 1 ของโรงแรม เพื่อสัมผัสกับบรรยากาศอาหารเช้าแบบจริงจังมื้อแรกของทริป ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเลย อาหารเช้าที่นี่ คาดหวังความครบถ้วนสมบูรณ์แบบได้จริง คุณภาพวัตถุดิบดีเยี่ยม ตัวเลือกของชา กาแฟ เครื่องดื่มมีมากมาย นม โยเกิร์ต ขนมปัง ไข่ โคลด์คัท ชีส สลัด แพนเค้ก ผลไม้ เอาว่า ครบครัน 5 ดาวไปเลย บริกรหนุ่ม สาว หน้าตาดี๊ดวี อีกล้าววว อาหารรสชาติดีขึ้นทันที 40%  #ปรบมือสิคะ 



เมื่อกินจนอิ่มแน่นมาถึงหลอดลมแล้ว เราก็แยกย้ายกันไปให้เวลาส่วนตัวเพื่อไปพบกับป้าส้วมกันพองาม ชมวิวตรงระเบียงเบาๆ แล้วจึงเริ่มเดินก้าวเท้าขวาออกจากธรณีประตูโรงแรมอย่างสดชื่นเหลือเกิน  อื้มมมม หายใจเข้าไปลึกๆ  อากาศประมาณ  15 องศานี่มันดีชะมัด  เราคิดคนเดียว 

เราเริ่มเดินไปทางทิศ 8 นาฬิกาของจตุรัส University Square เพื่อที่จะเกาะเส้นถนนไปเรื่อยๆเพื่อที่จะไปเจอ Palace of the Parliament จุดมุ่งหมายหลักวันนี้ที่อยู่ห่างออกไป  1.5 กิโลเมตร โดยระหว่างทางเจออะไรก็แวะเอาตามใจชอบ   

จุดแรกเลยที่เราเดินผ่าน ถือว่าเป็นจุดที่สำคัญมากๆของเมืองเช่นกัน คือเวิ้งมหาวิทยาลัยแห่งกรุงบูคาเรสต์  ตรงนี้เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่  ธนาคาร Banca Comerciala Romana ในปีกซ้ายและ Antifraud Department หรือ ... ของโรมาเนียในปีกขวา ซึ่งตรงข้ามกับมหาวิทยาลัยแห่งกรุงบูคาเรสต์ครับ  จริงๆบริเวณลานกว้างนี้เป็นป้ายรถเมล์และสถานีรถรางหลักเลย แถมมีขนาดใหญ่มากพอที่จะจัดคอนเสิร์ต 500 ที่นั่ง หรือตั้งเวทีการแสดงขนาดกลางๆได้เลยนะ  คือนึกภาพประมาณลานโลกดนตรีสนามเป้าเลยล่ะ^^ แล้วรอบๆบริเวณนี้ทั้งหมดก็เป็นที่ตั้งของอาคารเก่าแก่ของมหาวิทยาลัยแห่งกรุงบูคาเรสต์ทั้งสิ้น เดินไปตรงไหนก็เจอแต่อาคารเก่ายุคนีโอคลาสสิคสวยงาม แต่ดูเก่าจริงๆนะ ดิบๆ ดำๆ อีกไม่นานไลเค่นน่าจะขึ้นแล้วล่ะ 
จตุรัสเล็กๆหน้า ป.ป.ช.โรมาเนีย
เราเดินเลี้ยวเข้าไปตรงถนน Strada Academiei (คำว่า Strada แปลว่า Street มาจากคำอิตาเลี่ยนที่เขียนอ่านเหมือนกัน โดยมีรากมาจากคำว่า Strata ในภาษาละติน) เป็นตรอกเล็กๆที่จะไปเชื่อมต่อกับถนน Strada Lipscani ถนนการค้าเก่าแก่สายหลักของย่าน Old Town 
*ย่าน Old Town นี้ กินอาณาบริเวณกว่า 3.6 ตารางกิโลเมตร โดยนับตั้งแต่ University Square ยาวลงมาทางทิศใต้จนจรดกับ Unirii Square  ตามประวัติศาสตร์ ย่าน Old Town นั้นเป็นย่านการค้าที่เจริญรุ่งเรืองมากๆของบูคาเรสต์ที่มีมาตั้งแต่ยุคกลางในครั้งที่ยังเป็นอาณาจักร Wallachia : วาลัคเฮีย จวบจนต้นศตวรรษที่ 19 ในสมัยที่เปลี่ยนมาเป็นอาณาจักรโรมาเนียแล้ว*




สำหรับเรา Old Town เหมือนย่านเจริญกรุงของกรุงเทพ คือเป็นถนนสายแรกๆของเมืองที่เต็มไปด้วยร้านค้ามากมายที่มีกลิ่นอายความเก่าแก่ซ่อนอยู่  แล้วก็เป็นตรอกซอกซอยยิบย่อยทะลุทะลวงมากมาย คล้ายการเดินจากวัดเล่งเน่ยยี่ ทะลุตลาดเก่าเยาวราช แล้วไปสำเพ็ง เดินต่อไปเวิ้งนครเกษม ไหลไปวังบูรพา แล้วไปจบที่ปากคลองตลาดอะไรแบบนั้น  แต่ไม่ได้เหมือนแบบนั้นเป๊ะๆนะ หมายถึงอาณาบริเวณและความเก่าแก่หน่ะ เพราะ Old Town นั้นให้ความรู้สึกฝรั่งมากๆ ด้วยตึกรามบ้านช่องสไตล์นีโอคลาสสิค พร้อมทั้งโบสถ์ วิหารเก่าแก่มากมายกว่า 20 แห่งยิบย่อยทั่วไปหมด ถนนยังเป็นหินอยู่เลย ปัจจุบัน Old Town แห่งนี้กลายเป็นแหล่งชอปปิ้งและบันเทิงเริงใจยามราตรีสายหลักของชาวกรุงบูคาเรสต์แล้ว ด้วยร้านค้ามากมายประมาณสยามสแควร์ กับร้านอาหารระดับแบกะดินจนถึงเหลาขึ้นหิ้งทั่วทุกมุมทุกซอกตึก พิพิธภัณฑ์ ร้านหนังสือ โรงละครโอเปร่า ผับ บาร์ ดิสโก้ ร้านนวด ก็มีครบครัน เออ.. คือมันมารวมอยู่ตรงนี้หมดเลยจริงๆอะคุณตำรวจ แต่.... วันนี้ เราจะมาเดินเพื่อศึกษาและซึมซับเรื่องราวเก่าๆ วัฒนธรรมดีๆกันนะจ้ะเด็กๆ เรื่องผิดศีลเราไว้ว่ากันทีหลัง  

จุดที่นักท่องเที่ยวต้องมากันเลยห้ามพลาดนะ  คือ Stavropoleos Monastery : Mănăstirea Stavropoleos หรือโบสถ์สตาฟโรโปลิโอส ตั้งอยู่ตรงหัวมุมตรอก Strada Stavropoleos ตัดกับ Strada Postei ถัดมาจากถนน Strada Lipscani มาทางตะวันออก 1 บลอคเอง หรือถ้าเอาเข้าใจง่าย โบสถ์นี้จะอยู่หลังพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติโรมาเนีย (National Museum of Romanian History) เป๊ะๆเลย *โบสถ์แห่งนี้เป็นอารามสำหรับแม่ชีสาย Eastern Orthodox สร้างตามแบบสถาปัตยกรรม Brâncovenesc หรือโรมาเนียนเรเนสซองต์ ในศตวรรษที่ 17 ช่วงที่จักรวรรดิออตโตมันเรืองอำนาจที่นี่ สร้างขึ้นเพื่อยกย่อง St. Archangels Michael และ St. Gabriel ชื่อ Stavropoleos เป็นคำที่ยืมมาจากภาษากรีก แปลว่าเมืองที่เต็มไปด้วยกางเขน ภายในตัวโบสถ์ที่มีขนาดไม่ใหญ่เลยล่ะ มีภาพเขียนผนังแบบสีปูนเปียกที่สวยงามมาก และในบริเวณชุกชีก็จะเปิดเพลงบรรเลงในแบบไบเซนไทม์คลอตลอดทั้งวัน เนื่องจากที่นี่เป็นที่เก็บหนังสือดนตรีเก่าแก่และโน๊ตเพลงจากไบเซนไทม์(กรีกยุคหลังนั่นล่ะ)สมัยกลางศตวรรษที่ 16 ที่มีเยอะที่สุดในโรมาเนีย* 

ใครนึกไม่ออกว่าดนตรีแบบไบเซนไทม์คืออะไร เราก็ไม่เชี่ยวเรื่องนี้อะ แต่เท่าที่ถามคนที่โบสถ์มา คือจะเป็นเพลงสรรเสริญพระเจ้าที่ไม่ใช่การร้องแบบประสานเสียง แต่เป็นการร้องโดนคนคนเดียวเป็นหลักและค่อนข้างจะโหยหวนมากๆ เหมือนเป็นการผสมผสานวิธีการร้องเข้ากับการสวดมนต์อะ เหมือนเอาคริสต์กับอิสลามมาผสมกันเลย ได้ยินในหนังสงครามย้อนยุคบ่อยๆ ลองไปหาฟังกันดู ในยูทงยูทูปอะมี เราว่าโบสถ์นี้เป็นอะไรที่สวยงาม และน่ารักมากๆ กะทัดรัดๆ แต่ดูมีเรื่องราวมากมายดี ตอนที่เราเดินไปถึง ก็เจอนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่เดินมาพอดี เลยแอบไปฟังไกด์ของกลุ่มเค้าเล่านู่นเล่านี่จนได้ข้อมูลมาพอประมาณ ^^ 
Stavropoleos Monastery




ข้างหลังคือ?? lol


หลังจากเราอิ่มอกอิ่มใจกับบรรยากาศในโบสถ์อยู่สักพักใหญ่ เราก็เริ่มเดินทางต่อด้วยความลั้ลลา เราเดินออกมาทางทิศใต้มาสู่ถนน Calea Victoriei ที่ทอดยาวมาจาก Victory Square ก็จะพบกับ Palatul CEC : the CEC Palace อาคารเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในปี 1900 ในรูปแบบอาคารปูนยอดโดมโลหะแบบมีช่องกระจกแบบเรเนสซองส์ ใครที่เป็นเด็กถัดป๋า วิดวะ เราจะบอกว่าประวัติเรื่องการก่อสร้างของอาคารนี้น่าสนใจมาก แต่ไปหาอ่านเอาเองนะ 555  ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ ธนาคารเพื่อการออมแห่งชาติ หรือ CEC Bank ที่นี่ใช้เป็นที่จัดงานสำคัญๆระดับชาติของโรมาเนียบ่อยครั้งมาก อย่างในปี 2015 นี้ ก็มีการจัดงานเฉลิมฉลอง 25 ปีขององค์กรการกุศลที่ใหญ่ที่สุดของโรมาเนียอย่าง FPMR ที่เป็นโครงการของมงกุฎราชกุมารี มากาเรต แห่งโรมาเนีย เป็นต้น 

Strada Stavropoleos


CEC
เยื้องๆกับ CEC Bank ก็คือที่ตั้งของ the National Museum of Romanian History หรือพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติโรมาเนีย อาคารที่สวยงามสร้างขึ้นเมื่อ 1892 โดยเคยใช้เป็นสำนักไปรษณีย์กลางของโรมาเนียมาจนถึงปี 1970 จึงเปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเราไม่ได้เข้าไปชมด้านใน เนื่องจากอ่านจากข้อมูลแล้ว พบว่าไม่มีการให้ข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษเลยในห้องต่างๆที่มีกว่า 60 ห้อง กับพื้นที่การแสดงกว่า 8,000 ตารางเมตร (ใหญ่มว้ากกก ที่นี่ชอบสร้างอะไรใหญ่ๆอลังๆ) แต่จะมีเพียงส่วนของห้องแสดงอัญมณีเท่านั้นที่มีภาษาอังกฤษ ที่เหลือเป็นภาษาโรมาเนียล้วนๆ แย่จัง..  แต่ทางสถานที่กำลังปรับปรุงใหม่ครับ และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2016 เอาเป็นว่าไปคราวหน้าเราจะเข้าไปนะ เพราะน่าสนใจมากสำหรับพวกพวกชอบอ่านชอบคุดขุ้ยอย่างเรา แต่คราวนี้ขอเดินผ่านและถ่ายรูปกับ... เอิ่ม รูปปั้นจักรพรรดิ Trajan ชายเปลือยไข่ห้อยอุ้มสุนัขจิ้งจอก ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าประตูพิพิธภัณฑ์นี่ก่อนละกัน มีหนุ่มเยอรมันมาขอให้เราถ่ายรูปให้ด้วย อิอิ 
*จักรพรรดิทราจัน เป็นจักรพรรดิองค์ที่ 16 ของอาณาจักรโรมัน ปกครองโรมันใน คศ.98-117 มีชื่อเสืยงมากจากความสามารถทางการรบและการปกครอง และเป็นผู้ที่สามารถนำทัพโรมันไปถึงเปอร์เซียและปกครองได้อย่างสันติ นับเป็น 1 ใน 5 จักรพรรดิโรมันที่คนยกย่องและสรรเสริญมากที่สุด และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของโรมาเนีย ในยุคต้นคริสต์ศตวรรษนั้นยังไม่มีโรมาเนีย แต่นับบริเวณที่เทือกเขาคาเพเที่ยน และแม่น้ำดานูบพาดผ่านทั้งหมดจนไปถึงสามเหลี่ยมปากแม่น้ำที่ทะเลดำ เป็นอาณาจักรดาเซีย ที่ปกครองโดยกรีกโบราณ และจักรพรรดิทราจันก็เคยรบชนะชาวดาเซียและปกครองอาณาจักรดาเซียในช่วงเวลาหนึ่ง

รูปหล่อโลหะ จักรพรรดิทราจันอุ้มสุนัขจิ้งจอก 

สตอง

สตองงง

สตองงงงงงง

สตีฟฟฟฟฟ 

เดินต่อบนถนน Calea Victoriei ไปทางทิศใต้ จะพบกับแม่น้ำ Dambovita แม่น้ำที่มีความยาวกว่า 280 กิโลเมตร ไหลมาจากยอดเขา Fagaras หนึ่งในยอดเขาตอนใต้ของเทือกเขาคาเพเที่ยน สู่กรุงบูคาเรสต์แห่งนี้ แม่น้ำไม่ค่อยมีน้ำเท่าไหร่ เนื่องจากเป็นช่วงใกล้หนาวแล้ว ก็เลยดูแห้งๆอย่างที่เห็น  แล้วจะบอกว่าในกรุงบูคาเรสต์นี้ ทางการเขาทำการขุดและทำตลิ่งให้แม่น้ำด้วยปูนทั้งหมดเลย เลยดูไม่ค่อยธรรมชาติเท่าไหร่ แต่ก็นะ แม่น้ำนี้ไม่ได้ใหญ่โตหรือใช้เป็นเส้นทางคมนาคมในปัจจุบันแล้ว เลยเน้นสะอาด และจัดการง่ายเอาไว้ก่อน จากตรงนี้แม่น้ำจะไหลไปยังเมือง Oltenita ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงบูคาเรสต์ และไปรวมกับแม่น้ำดานูบและไหลไปสู่ทะเลดำนั่นเอง 




เราเดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำมาตรงถนนใหญ่นี้เรียกว่า Bulevardul Națiunile Unite ข้ามมาถึงจะพบกับจุดสังเกตง่ายๆ คือโบสถ์ออโธดอกซ์ชื่อ Biserica Sfantul Spiridon Vechi ที่สวยงามมากๆ แต่เราไม่ได้เข้าไปข้างในหรอกนะ 555 รูปภายในโบสถ์ เป็นของช่างภาพชื่อคุณ Andrien หนุ่มโรมาเนียสุดหล่อที่ได้กรุณาแชร์ให้เรามา ใครมีเวลาได้แวะไปก็เข้าไปดูกันได้ ว่าสวยเท่าในรูปรึเปล่า 

cr: ANDRIEN

เราเดินตามทางมาเรื่อยๆมุ่งหน้าทางทิศตะวันตกสู่ถนน Bulevardul Libertatii โดยจะมีป้ายบอกตลอดทางว่า ทางไป Palace of the Parliament ซึ่งเราจะผ่าน สถาบันรวมรวมสถิติแห่งชาติ และกระทรวงยุติธรรม ซึ่งอาคารนั้น จะตรงข้ามกับ Palace of the Parliament  เลย ใหญ่โตมากกก  ทุกสิ่งที่นี่ช่างใหญ่โต และสร้างตึกแบบ Art Deco ทั้งนั้นเลย อลังการศิลป์ที่สุดในปฐพี โอ้วววว และเมื่อเดินมาเรื่อยๆ อีกนิดก็จะถึงด้านหน้าของจุดหมายหลักของเราในวันนี้ นั่นคือ Palace of the Parliament  หรือ อาคารรัฐสภาโรมาเนียนั่นเอง 


*อาคารรัฐสภาโรมาเนีย : Palace of the Parliament เป็นหนึ่งในความเจ็บปวดของชาวโรมาเนียในยุคคอมมิวนิสต์ เนื่องจากรัฐบาลของนาย Nicolae Ceaușesc ได้คิดและดำเนินการสร้างอาคารแห่งนี้โดยใช้งบประมาณแทบจะทั้งหมดในคลังของประเทศ ในขณะที่ประชาชนกลับอดอยากและไร้สวัสดิการใดๆเลย  อาคารแห่งนี้ ได้เป็นที่สุดในโลกหลายๆเรื่อง 
1. อาคารที่หนักที่สุดในโลก : จากการใช้เหล็กและทองแดงกว่า 7แสนตัน หินอ่อนจากอิตาลีและกรีซ 1 ล้านลูกบาศก์เมตร คริสตัลหนัก 3,500 ตัน ไม้เนื้อแข็ง 9แสนลูกบาศก์เมตร 
2. อาคารที่ใช้งบประมาณก่อสร้างสูงที่สุดในโลก คือใช้เงินไปกว่า 4พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ 3. อาคารที่มีพื้นที่ใช้สอยมากที่สุดในโลก สำหรับการใช้งานโดยประชาชนทั่วไป  โดยปัจจุบันใช้เป็นที่จัดงานสำคัญระดับประเทศต่างๆ เช่น การประชุม NATO และเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับบุคคลทั่วไปให้ได้เข้าไปชมความอลังการด้วย*


ในมุมมองจากรูป จะเป็นการถ่ายจากฝั่งจัตุรัส Constitutiei ที่อยู่ทางทิศตะวันออกของบริเวณอาคารรัฐสภา ซึ่งเชื่อมมาจากถนนสายที่สวยที่สุดเส้นหนึ่งของบูคาเรสต์คือถนน Bulevardul Unirii ถ้าใครมาค่ำๆจะงามจัดด้วยแสงไฟที่สวยงาม และเกาะกลางถนนที่เป็นน้ำพุก็จะเปิดในยามค่ำคืน เราไม่ได้มาตอนกลางคืน ก็เลยได้ภาพตามที่เห็น เดี๋ยวค่อยมาใหม่ละกัน วันนี้จะเข้าไปดูอาคารรัฐสภาครับ

เราต้องเดินอ้อมไปเข้าประตูทางทิศเหนือ ซึ่งเป็นทางเข้าหลักของอาคารรัฐสภา บอกเลยว่าพื้นมี่มันกว้างมาก เหมือนสนามหลวงบ้านเรา 2 สนาม เพราะฉะนั้น ใครที่เดินไม่เก่ง เราแนะนำว่าจับแทกซี่มาหรือขึ้นรถเมล์มาจะดีกว่านะครับ 
[รถเมล์ที่จะมาที่อาคารรัฐสภาได้ มี 2 สาย คือ  385 กับ 136 ซึ่งให้ลงป้ายที่ชื่อ Statie RATB จะตรงกับประตูเปะๆ : ส่วนใครมาแทกซี่ ก็บอกแทกซี่ว่ามาอาคารรัฐสภา คนโรมาเนียเรียก Palatul Palarmentului รับรองมาถึงแน่นอนครับ] เมื่อเดินมาถึง เราก็พบว่า มันใหญ่มากจีจี ถึงเราจะยังไม่แน่ใจนักว่า เราเข้ามาถูกทั้ย แต่เราเห็นรถทัวร์คะนโตมาจอด พร้อมนักท่องเที่ยวฝรั่งหัวทองเดินกันขวักไขว่ เราเลยมองหน้ากันด้วยความมั่นใจว่า ใช่แหละ เข้าไปกันเถอะ 


ทีนี้เราก็เข้ามาในส่วนของทางเข้าอาคารสำหรับนักท่องเที่ยวละ มันจะเป็นประตูกระจก มีป้ายแปะไว้โง่ๆว่า ENTRANCE ซึ่งพอเข้ามาด้านในก็จะพบกับโต๊ะประชาสัมพันธ์ ซึ่งเมื่อสอบถามข้อมูลแล้ว ปรากฎว่า เราควรจองล่วงหน้ามาก่อน โดยอาจจะให้โรงแรมโทรมาจองรอบให้ เพราะถ้า Walk in มาดุ่ยๆแบบเรา อาจจะต้องมารอนานมาก หรืออาจจะไม่ได้เข้า ตอนที่เราไปถึงทีคิวว่างให้เราเข้าได้พอดี แต่ก็มีปัญหาอังีกเรื่อง คือเราจำเป็นต้องแลกพาสปอร์ตเพื่อจะเข้าชมอาคาร ต้องเป็นพาสปอร์ตตัวจริงเท่านั้น บังเอิญว่าเราไม่ได้พกพาสปอร์ตกันมาทุกคน เลยอดเข้า ก็ไม่เป็นไร เรายังมีเวลาอีกก่อนกลับ เดี๋ยวมาใหม่ เราบอกตัวเอง หาที่อื่นเที่ยวต่อดีกว่า อีกฝากอาคาร มีหอศิลป์ เดี๋ยวเดินไปดูอันนั้นแทนก่อนวันนี้
[ราคาสำหรับทัวร์อาคารแบบปกติ คือ 25 LEI / คน ใช้เวลา 45 นาที และทัวร์อาคารแบบพิเศษ รวมระเบียงและชั้นใต้ดิน ราคา 45 LEI / คน ใช้เวลาเพิ่มอีก 20 นาที ที่นี่ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป ถ้าจะถ่ายต้องจ่ายเพิ่ม 30 LEI สำหรับกล้องถ่ายรูป 1 ตัว และ 30 LEI สำหรับกล้องวีดีโอ 1 ตัว ซึ่งจะได้สติกเกอร์มาแปะที่กล้องนั้นเป็นสัญลักษณ์ว่า อุปกรณ์นี้เอาขึ้นมาสำหรับถ่ายรูปได้เวลาเปิดคือ 10:00-16:00 เปิดทุกวันยกเว้นวันหยุดราชการหรือวันพิเศษต่างๆ แต่เวลาเปิดรับนักท่องเที่ยวรอบสุดท้ายคือ 15:30 • ก่อนมาควรให้ Concierge ที่โรงแรมโทรมาจองให้จะดีที่สุดครับ ที่สำคัญ ต้องเอาพาสปอร์ตไปด้วยนะ ห้ามลืม]

เมื่ออดเข้าไปดูความอลังการของภายในอาคารรัฐสภา เราก็เลือกที่จะเดินอ้อมไปประตูทางฝั่งทิศใต้ ทางถนน Calea 13 Septembrie ซึ่งตรงนั้นมีหอศิลป์ร่วมสมัยอยู่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาคารรัฐสภาอันใหญ่โตแห่งนี้นี่แหละ .. เดินไกลมาก  แต่ก็อย่างว่า อากาศมันไม่ร้อน เดินชิลๆได้ เมื่อเข้ามาถึง นี่คือบริเวณด้านทิศใต้ของอาคารครับ สวยงามแค่ไหนดูจากรูป 






ในส่วนของหอศิลป์ที่เราเดินมาที่นี่ เรียกว่า The National Museum of Contemporary Art : Muzeul Național de Artă Contemporană หรือตัวย่อที่เขาเรียกกันว่า MNAC โดยเป็นส่วนปีกทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือสุด ของอาคารรัฐสภาแห่งชาติโรมาเนีย จะเป็นแนวศิลปะร่วมสมัยนะครับ คล้ายๆหอศิลป์ตรงสี่แยกปทุมวัน ไม่มีอะไรเก่าๆ มีแต่ผลงานนักสร้างงานสมัยใหม่ ถ้าคุณไม่ใช่เด็กอาร์ตก็ข้ามไปดีกว่า ไม่แนะนำ ไปพิพิธภัณฑ์อื่นๆที่มีมากมายทั่วบูคาเรสต์ดีกว่า แต่เรามาเพราะเราเห็นว่าไหนๆก็มาถึงอาคารรัฐสภาแล้ว ก็เข้าไปดูอะไรหาอะไรทำหน่อยละกันงี้ เราไม่ได้ถ่ายรูปอะไรด้านในมาเลย เพราะไม่ได้จ่ายตังค์ค่าถ่ายรูปเพิ่ม งกไง 555 สำหรับเรา เราว่าเฉยๆ ต้องคนที่เรียนศิลปะมาบ้างถึงจะอิน แต่ตัวอาคารและห้องจัดแสดงถือว่าอลังการมากครับ ถ้ามีโอกาสก็เชิญได้ตามอัธยาศัย
[ค่าเข้าชมหอศิลป์ 10 LEI / คน ถ่ายรูปจ่ายเพิ่ม 10 LEI ต่อ 1 อุปกรณ์ • มีส่วนแสดงแบ่งออกเป็น 4 ชั้น นิทรรศการจะจัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปตลอด




หลังจากออกจากหอศิลป์  เราก็เดินต่อไปทางทิศตะวันตกอีกประมาณ 800 เมตร เพื่อไปยัง JW Marriott Bucharest ที่ซึ่งมีร้านแบรนด์เนมระดับไฮเอนด์เพื่อไปเชคราคาอะไรนิดหน่อย  ซึ่งเราพบว่า LV ที่นี่ราคาไม่ถูกเลย ไม่ควรซื้อ แต่นาฬิกา ROLEX ราคาถูกกว่าบ้านเราประมาณ 30%  ก็ FYI สำหรับคนชอบซื้อของแพงไว้เท่านี้ครับ 



ตอนนี้บ่ายแก่มากๆแล้ว เราตัดสินใจว่า จะนั่งแทกซี่กลับไปย่าน Old Town เพื่อหาอะไรกิน  ก่อนจะกลับเข้าโรงแรมเพื่อเตรียมตัวสำหรับ Welcome Dinner การขึ้นแทกซี่ที่นี่ สามารถเรียกได้เลยริมทางเท้าปกติ ไม่มีป้ายแทกซี่ครับ โดยสนนราคาค่าแทกซี่ก็ไม่แพงเลย คือเป็นมิเตอร์นะครับ กิโลเมตรละ 1.39 LEI หรือ 14 บาท/กม. โห.. รู้งี้ขึ้นแทกซี่เที่ยวดีกว่า ประหยัดเวลาได้มากมายอยู่นะ แทกซี่ 1 คัน รับผู้โดยสารได้สูงสุด 4 คน และการเรียกแทกซี่เอง อาจจะเจอคนขับขี้โกงไม่ยอมคิดราคาตามมิเตอร์ได้เช่นกัน แต่ก็ไม่ได้โคกสับจนน่ากลัว เช่น ที่เราเจอวันนี้ คนขับบอกเราว่า ขอ  10 LEI เราก็คิดว่าเอาเหอะ ร้อยบาท สรุปพอไปส่งเราถึงตรง Old Town  มิเตอร์ขึ้นไปที่ 8.34 LEI คือ  84 บาท สำหรับเรา เราว่าหยวนๆ โอเคอยู่ ไม่เลวเท่าบ้านเราที่แบบ เรียกจากสยามไปหัวลำโพงเวลารถติดๆ แล้วมักจะโดนไถ 200 บาทตลอด แบบนั้นเราว่าเกินไป ไม่ยอม 555 


ถึง Old Town เราก็พุ่งไปที่ร้านอาหารร้านเดิม คือร้าน La Placinte วันนี้เราสั่งพิซซ่า 1 ถาด , ซุป 1 ถ้วย , สลัด 1 จาน , พาสต้า 1 จาน และน้ำผลไม้ 2 เหยือก ทุกอย่างอร่อยมาก อิ่มแปล้ เชคบิลออกมาที่ 114 LEI ก็ตกคนละ 28.5 LEI : 285 บาทไทย เป็นราคาการกินอาหารที่เท่ากับการกินอยู่ที่ไทยเลย เราว่าโอเคมาก 


กินอิ่มแล้วก็เดินแวะดูนู่นนี่นิดหน่อยระหว่างทางกลับโรงแรม สาวๆมีแวะดูรองเท้ากันด้วย เราพบว่าราคาสินค้าที่นี่ไม่แพงเลย มีร้านค้าขายของถูกๆมากมายที่คุณภาพดีคล้ายๆร้าน Outlets เช่นร้านรองเท้า เสื้อผ้า เครื่องประดับ แต่มีข้อกำจัดที่ไซส์อาจจะไม่มีมากมาย คือถ้าเจอตรงกับเรา ก็มีของดีและถูกให้ซื้อได้ครับ 

และก็จบวันนี้ด้วย Welcome Dinner ที่ห้อง Ballrooms ชั้น 2 ของโรงแรม วันนี้ทาง DreamTrips  จัดอาหารต้อนรับเราเป็นแบบบัฟเฟ่ต์ ซึ่งมีอาหารหลากหลาย แต่โดยรวมไม่ถูกปากเราเท่าไหร่นัก ไม่ได้แปลว่าไม่ดีนะ แต่มันอร่อยครึ่ง  เฉยๆครึ่งอ่ะ มีอร่อยอยู่ไม่กี่เมนูเช่น สตูว์เนื้อ ข้าวผัดสเปน เห็ดผัดซอสไวน์แดง กับสลัด นอกนั้น เช่น ปลาอบซอสไวน์ขาว บะหมี่ผัดแบบจีน ผัดผัก ขนมหวาน เราเฉยๆ แต่ดีที่มีซอฟท์ดริ้งค์เป็นโค้ก สไปร์ท น้ำแร่มีฟอง แบบไม่อั้น มีเบียร์ ไวน์ขาว ไวน์แดงบริการตลอด ซึ่งเราว่าเพียงพอต่อความต้องการเลยล่ะ ก็ถือว่าผ่านและเกินกว่ามาตรฐานอาหารทัวร์นะ

และก่อนที่จะจบมื้ออาหารลง Host ของเรา คุณ Artemis ก็แจ้งย้ำกำหนดการอีกครั้งหนึ่ง เพราะพรุ่งนี้ จะเป็นวันที่เราต้องเดินทางออกจากกรุงบูคาเรสต์กันแล้ว 



เอาล่ะ .. เตรียมแพคปลาเก๋าย้ายที่นอนกันครับคืนนี้ ขอลาไปเท่านี้ก่อน ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่าน ราตรีสวัสดิ์ครับ 

ขอจบ -Part3- เอาไว้ตรงนี้
เราจะรีบกลับมาเล่าตอนต่อไป ฝากติดตามอ่าน กดแชร์ลงเฟสบุ๊คกันด้วยนะครับ 

>>สรุปค่าใช้จ่ายวันนี้ ราคาต่อคน<<

  • ค่าเข้าหอศิลป์ 10 LEI = 100 บาท
  • ค่าแทกซี่ 2.5 LEI = 25 บาท 
  • ค่าอาหารมื้อเย็นที่บูคาเรสต์ 28.5 LEI  = 285 บาท
  • ค่า PEPSI MAX 1.25 ltr ของเรา 1.89 LEI = 19 บาท