Wednesday, December 2, 2015

-Part 2- DreamTrips Romania : โรมาเนีย ประเทศในฝันที่ไม่ได้มีแค่ตำนานแดรกคูล่า

Part2 : จากมอสโควสู่บูคาเรสต์ เมืองหลวงแห่งโรมาเนีย ปารีสน้อยแห่งยุโรป กับเรื่องราวความประทับใจแรกที่เกินความคาดหวัง

สวัสดีครับ ผม"เจ้าชายกบ" มารายงานตัวใน Part2  ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและคิดตามเรื่องราวการเดินทางท่องเที่ยวของเรานะครับ สำหรับ 2 ตอนแรก กดอ่านย้อนได้ตาม link นะครับ

-Prologue-
http://vacationrightaway.blogspot.com/2015/11/romania.html?m=1
-Part1-
http://vacationrightaway.blogspot.com/2015/11/romania-part1.html?m=1

และนี่คือแผนการท่องเที่ยววันนี้ของเรา (28OCT)
- เดินทางออกจากกรุงมอสโคว โดยเที่ยวบินที่ SU2034 สู่บูคาเรสต์ ประเทศโรมาเนีย เวลา  10:40 am - 12:15 pm
- รอรถมารับจากสนามบินเข้าโรงแรม
- พบกับ Host จาก Dreamtrips เพื่อรับทราบข้อมูลและเรื่องที่ควรทราบทั้งหมดในฐานะผู้ร่วมคณะท่องเที่ยว
- เชคอิน  ขึ้นห้องเก็บปราเก๋า  
- สำรวจบริเวณใกล้เคียงและเดินเล่น
- หาอะไรกินก่อนกลับโรงแรมนอนคืนแรก

เมื่อคืนคือนอนสบายมาก เพราะหนาวมาก เราตั้งนาฬิกาปลุกไว้  06:00 am เพราะเชคอินได้ตั้งแต่  08:40 am กะไว้ว่า จะออกจากโรงแรมด้วยรถเวียนรอบ  08:00 เลย เพราะใกล้นิดเดียว อุณหภูมิตอนเช้านี้คือ -4 องศา  .. คุณพระ  นี่มันที่ไหนเนี่ย ( สังเกตความหนาวเหน๊บจากรูปเอานะครับ  รถนี่น้ำแข็งเกาะเลย )



อาบน้ำแต่งตัวกันอย่างรวดเร็ว  เพราะเป็นเรื่องถนัดมากของพวกเรา  แปปเดียวก็พร้อมออก เชคเอาท์เรียบร้อย ก็ขึ้นรถ Shuttle bus ไปสนามบิน Sheremetyevo terminal E ก็ไม่มีอะไรวุ่นวาย  เพราะสนามบินใหญ่  คนไม่แน่น พอเชคอินโหลดกระเป๋าเรียบร้อย ก็นั่งรอเวลา  ทีแรกว่าจะหาอะไรกิน  แต่สุดท้ายทุกคนลงความเห็นว่า ไม่หิวเท่าไหร่  เดี๋ยวรอกินบนเครื่องละกัน  เพราะไฟล์ทไทม์ก็ 2 ชมกว่า น่าจะมีอะไรเสริฟอยู่  




ระหว่างนั่งรอ  เราก็เหลือบไปเห็นตู้ขายของอัตโนมัติมากมาย น่าสนใจมากเลยไปดูใกล้ๆ  นอกจากจะมีตู้ขายของกิน  น้ำ  ขนมแล้ว  ที่นี่ยังมีตู้ขายอุปกรณ์อีเลคโทรนิคอย่างที่ชาร์จแบตฯ เมมโมรี่การ์ด  สายยูเอสบี  สายไอโฟน  สารพัดเลย  แถมมีทีเด็ดมากคือมีตู้ขายสินค้าที่เป็นรูปท่านปูตินด้วย อันนี้ฮามาก มีทั้งเสื้อยืด กรอบโทรศัพท์มือถือหลากหลายลายมากในราคากำลังดี อย่างเสื้อยืดก็ตัวละ 3-4 ร้อยบาท เคสมือถือก็ 4-6 ร้อยบาท ซึ่งพวกเราก็สนใจซื้อนะ แต่ตู้เจ้ากรรมดันคุยไม่รู้เรื่อง ลองทั้งเงินทั้งบัตรแล้วก็ไม่สามารถซื้อได้  เลยยอมแพ้ .. อดได้ของที่ระลึกเลย 




สักพักพวกเราก็เดินเข้าเกต ผ่านพิธีการตรวจคนออกเมือง ซึ่งไม่มีปัญหาอะไร แต่เราโดนเจ้าหน้าที่ถามอะไรมากมายกว่าคนอื่น เพราะพาสปอร์ตหน้าแรกของเราดันมีรอยขาดนิดๆตรงสันเล่มเนื่องจากใช้งานบ่อยมาก ถูกรูดปรี๊ดๆจาก จนท กงสุลอย่างรุนแรงมาตลอด T_T แต่สุดท้ายก็ผ่านไปโดยดี

ภายในสนามบินมีร้านค้าดิวตี้ฟรีมากมายหลายจุด โดยมากสินค้าที่ราคาถูกของที่นี่ก็คือสุราเมรัย วอดก้าหลากรส ซึ่งขนาด 750ml มีราคาตกขวดละ 1-2 ร้อยบาทแค่นั้นเอง แถมมีหลายหลายรสชาติน่าลิ้มลองมาก แต่เราเป็นคนดี ไม่ดื่มของแบบนี้  เราเลยเดินผ่านไปแบบไม่แลตามอง ^^finger crossed^^




เที่ยวบินที่ SU2034 จะออกเวลา 10:40 เราก็ไปนั่งรอหน้าเกต พบว่า อากาศหนาวมาก ลมจากไหนก็ไม่รู้พัดเข้ามาในอาคารผู้โดยสารอย่างรุนแรง จะต้องแอบผลัดกันเดินไปฉี่ 

ห้องน้ำที่สนามบิน SVO ค่อนข้างน้อย และไกล แต่ห้องใหญ่ สะอาด ประมาณที่สุวรรณภูมิบ้านเรา อันที่เป็นของการท่าอากาศยานนะ  อย่าไปนึกภาพอันที่ COTTO มาสปอนเซอร์ให้ โนโนว 

วันนี้เราจะเดินทางด้วยเครื่องบินสัญชาติรัสเซีย ที่ออกแบบและสร้างจากกระทรวงกลาโหมรัสเซีย รุ่น SUKHOI SUPERJet100 ซึ่งมีที่นั่งประมาณ  100 ที่นั่ง โดยแบ่งเป็นแถวละ  2 และ 3 ที่นั่งซ้าย-ขวา ทีแรกที่เราจองมา เราแอบคิดเบาๆในหัวว่า เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่  ไม่เคยนั่งเครื่องบินยี่ห้ออื่นเลยนอกจาก ATR , BOING และ AIRBUS แอบหวั่นๆในความปลอดภัยและความสะดวกสบายนิดๆ แต่พอเห็นเครื่องที่จอดอยู่  ก็สบายใจเลยเพราะเครื่องใหม่มาก เพิ่งเอามาบินแค่ 4 ปี แถมข้างในก็สะอาด สว่าง และทันสมัยไม่ต่างจากยี่ห้อผู้ผลิตหลักๆ เผลอๆจะดูดีกว่าด้วยอะเธอ 



เที่ยวบินนี้ เป็นเที่ยวบินระยะสั้นๆ  ใช้เวลาเดินทางตามตารางบิน 2 ชม. 30 นาที Aeroflot ไม่เสริฟอาหารร้อนนะ เสริฟแค่ Snack box ที่ข้างในมีแซนด์วิช 1 ชิ้น กับน้ำแอปเปิ้ล 1 กล่องเท่านั้น ซอฟท์ดริ้งค์ ชา กาแฟ น้ำดื่ม มีบริการบนรถเข็นรอบเดียว ทั้งหมดแค่นี้ เพราะมาตรฐานไฟล์ทสั้นๆของสายการบินนานาชาติส่วนมากก็มีแค่นี้  อย่าเทียบกับ TG ที่เสริฟอาหารร้อน แม้ท่านจะเดินทางไปไหนก็ตามแบบบินไม่ถึง 2 ชม. 




บินสวยๆซักพัก กัปตันก็ประกาศว่า เดี๋ยวจะลงละนะ .. คือจะถึงเร็วกว่าเวลาที่กำหนดไว้เกือบครึ่งชม.เลย ดีจัง ทำการลดระดับแล้วไม่นาน ก็ลงสู่สนามบิน Bucharest Henri Coandă International Airport (OTP) เวลาเกือบๆเที่ยง  และก็อีกแล้วนะที่จะบอกว่า  นักบินลงจอดนิ่มมาก  มากกกกกกก  มากจนต้องรู้สึกอะว่า  เห้ย  ทำไมจอดเก่งจัง แบบไม่มีการบั๊มปิ้งเลย  นี่คือแลนดิ้งที่ 2 ของทริปนี้กับ Aeroflot นะ นักบินเค้าฝึกมาเยี่ยมยุทธมากเลยคุณตำรวจ นิ่มทั้งสองรอบ เดี๋ยวจะดูอีกสองรอบท้ายว่าจะนิ่มมั้ย  

เมื่อลงถึงก็ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งสำหรับคนที่ต้องการแลกเงิน จะมีที่แลกตรงทางเข้า ตม.เลย ซึ่งเรตก็ถือว่าไม่เลวร้าย  แต่แลกเอาแค่พอใช้ที่สนามบินหรือแค่พอจ่ายค่าเดินทางเข้าเมืองก็พอ เพราะจะบอกว่ามีที่แลกเงินเรตดีๆมากมายในเมืองบูคาเรสต์ครับ โดยอัตราแลกเปลี่ยนในวันนั้น จะประมาณ €1 = 4.1RON หรือ 1RON จะเป็นเงินประมาณ ฿9.6 ครับ คิดเอาง่ายๆคือ เงินโรมาเนีย 1 หน่วย เท่ากับ เงินบาท 10 บาท จำง่าย คิดง่ายดีครับ แล้วจะรับแลกจาก USDollars / Euros เป็นหลักนะครับ อย่าทะลึ่งควักแบงค์ไทยมาแลกล่ะ และที่สำคัญ  การแลกเงินที่นี่ ไม่มีการเสียค่าคอมมิชชั่นการแลกเงินนะครับ  คือ  แลกแล้วได้เรตตามที่ป้ายบอกเลย  ไม่มีการเสียค่าธรรมเนียมใดๆทั้งสิ้นเพิ่มเติมนะ  ดีอะ  feels like home มากๆ 

*สนามบิน Bucharest Henri Coandă International Airport (OTP) ตั้งอยู่ที่เมือง Otopeni ทางทิศของกรุงบูคาเรสต์ 16.5 กม. เป็นสนามบินนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดของโรมาเนีย มีจำนวนผู้เดินทางกว่า 8 ล้านคน ในปี 2014 ซึ่งถือว่ามากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนชื่อ Henri Coanda นั้น เป็นการตั้งชื่อสนามบินนี้เพื่อให้เกียรติแก่นักอากาศพลศาสตร์ที่ชื่อ อองรี ควันเดอ ชาวโรมาเนีย ผู้ค้นพบทฤษฎีการลอยตัวของวัตถุที่อยู่เหนืออากาศที่มีความชื้นหนาแน่น โดยวัตถุจะไม่ตกลงพื้น แต่ก็จะไม่ลอยสูงขึ้นภายใต้กฎนี้*
**เงินสกุล RON ของโรมาเนียนั้น ชาวโรมาเนียจะเรียกว่า LEI มากกว่า เพราะติดปากมาจากเงินสกุลเดิม แต่ทั้ง2ชื่อ มีความหมายเดียวกัน ย้ำอีกครั้ง 1 RON เท่ากับ 1 LEI **

ระหว่างที่เราต่อคิวรอ ตม. อยู่ ตาก็สอดส่ายไปรอบๆ อานนก็ชี้ๆ "กบๆดูดิ รปภ.พกปืนทุกคนเลยว่ะ" เออ.. จริงของอานน เราพบว่า รปภ.ทุกคนมีปืนเหน็บไว้ที่เข็มขัดด้วย ดูน่ากลัว คือ ถ้าเราทำอะไรให้พวก รปภ.ไม่พอใจ เราอาจจะตายอยู่ที่นี่นะ .. เราคิดและมโนไป และเมื่อถึงคิวเข้าตรวจพาสปอร์ต เราก็ยื่นเล่มให้เจ้าหน้าที่ไป คนที่เราเจอเป็นสุภาพสตรี ผมดำ ตาน้ำตาลหน้าคมๆ นางมองหน้าเราแล้วอมยิ้ม เรารู้สึกดีขึ้นมาทันที เพราะจากที่อานนชี้ๆให้ดูปืนจนแอบนอยด์ ว่า ตม.ที่นี่มันต้องเขี้ยวลากดินถามนู่นนี่ตามสไตล์คอมมิวนิสต์เก่าแหงมๆ แต่เอาเข้าจริงนางไม่สนตุ้ยเลย มองหน้า ยิ้ม ประทับตรา เชิญค่ะ แถมมีขำด้วยเพราะคงงงว่า  คนไทยหรา  มาทำอะรายยยย .. งี้เลย เออเว้ย ง่ายกว่าการกดโอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็มที่บ้านเราอีก เพราะเค้าไม่ถามอะไรเราเหมือนที่ตู้เอทีเอ็มถามตลอดและคอยสั่งสอนเราให้ระวังมิจฉาชีพ .. เราว่าเจ้าหน้าที่ใจดีเลยล่ะ ^^

เมื่อเดินออกจาก ตม. ก็จะพบกับบริเวณสายพานรับกระเป๋า ซึ่งมีแค่  4 รางเท่านั้น อย่างที่รู้กันว่า ประเทศโรมาเนียยังเป็นประเทศที่คนยังมาเที่ยวกันน้อย ส่วนมากจะเป็นนักท่องเที่ยวชาวยุโรปซะเป็นส่วนมาก ยิ่งกับนักท่องเที่ยวที่ต้องเดินทางข้ามทวีปมาแบบเราด้วยยิ่งน้อยไปใหญ่  สนามบินเลยยังไม่ใหญ่โตอะไร เทียบกับสนามบินเชียงใหม่บ้านเราได้  ประมาณนั้น แต่ของเค้าก็ทันสมัยและดูโมเดิร์นกว่า ตามประสาประเทศตะวันตก รอพักนึงกระเป๋าก็มา  เราก็เดินออกมาที่โถงผู้โดยสารขาเข้า  ซึ่งมีขนาดที่ ... ใหญ่เท่าร้าน H&M ที่พารากอนอะ แต่ถึงจะไม่ใหญ่โต  แต่ก็ครบครันด้วยความสะดวกสบายนะ  WiFi ฟรี ป้ายทุกป้ายที่มีภาษาอังกฤษชัดเจนมาก โอเคเลยล่ะ  



เราตัดสินใจว่า  จะไปหาที่นั่งรอพร้อมกินอะไรรองท้องระหว่างรอรถมารับ  เพราะตอนนั้นคือเวลาประมาณเที่ยงเกือบๆบ่ายโมง  จากข้อมูลที่ทาง Host ของทริปนี้แจ้งเรามาเมื่อวานทางเฟสบุ๊ค รถที่ทาง DreamTrips จะจัดมารับเราจะมาตอน  12:00 / 14:00 / 16:00 และ  18:00  นั่นแปลว่า  เราต้องรอรอบต่อไปคือ  14:00 นั่นเอง  
**สำหรับคนที่เดินทางเอง สามารถนั่งรถ Bus เข้าเมืองได้โดยมีหลายจุดให้ไปลง สายหลักจะเป็นสาย 780 กับ 783 จะมีรถทุกๆ 30 นาที ใช้เวลาเข้าเมืองประมาณ 1.30 ชม. ค่าโดยสารจะอยู่ที่ประมาณ 7-8 RON โดยจะต้องซื้อตั๋วที่ห้องตั๋วหน้าประตูขาเข้าชั้น 1 ใกล้ๆป้ายรถ ซึ่งจะผ่านจุดสำคัญๆต่างๆในเมืองบูคาเรสต์ทั้งหมด**

ที่นี่มี Food court อยู่อีกฟากทางฝั่งผู้โดยสารขาออก  ซึ่งไม่มีอะไรแฟนซีมากมาย  เหมือนโรงอาหารไฮด์สคูลโรงเรียนนานาชาติ  มีอาหารตักง่ายๆ  ซึ่งเราก็ไม่ได้คาดหวังอะไรอยู่แล้ว  และนี่คืออาหารที่เราสั่งมาในราคา 38LEI (380 บาท) พร้อมน้ำแร่แบบซ่าหนึ่งขวดขนาด  1.5 ltr ราคา 11.5LEI (110 บาท) ซึ่งเราก็ไม่แปลกใจมาก เพราะราคาน้ำดื่มที่ยุโรปมักจะแพงแบบนี้อยู่แล้ว แพงจนบางทีซื้อเบียร์ดื่มจะถูกกว่า แต่เราไม่ดื่มเบียร์แทนน้ำ  ..  จุดนี้เลยต้องยอมรับและทำใจกับราคากันไป  

ก้อนๆในจานเราเนี่ย เรียกว่า Mici อ่านว่า มิฌฌิ มันคือเนื้อบดปรุงรสปั้นเป็นก้อนๆแล้วเอาไปย่างไฟ  คล้ายแหนมเนืองมากแต่รสชาติเป็นเนื้อวัว  นี่คือหนึ่งในอาหารโรมาเนียนที่เค้า(ใครวะ) บอกว่าต้องกิน  เราว่าโอเคนะ เรากินได้  ก็อร่อยดี  อย่างที่บอกว่ามันคล้ายแหนมเนือง  ต่างตรงที่มันทำมาจากเนื้อวัวและไม่มีผักแนมใดๆให้ตัดเลี่ยน  แต่เสริฟคู่มันฝรั่งทอดมาให้ จริงๆแล้ว Mici เป็นอาหารที่มาจากอิตาลี่  แต่ขอไม่พูดถึงแบบลึกมากละกัน  เอาเป็นว่าตอนนี้มันกลายเป็นอาหารโรมาเนียไปแล้ว  ใครมาเที่ยวควรลองนะครับ กินคู่กับมัสตาร์ดก็ตัดเลี่ยนได้เหมือนกัน


และแล้วก็ถึงเวลาไปที่ห้องผู้โดยสารขาเข้า  เพื่อไปเจอรถที่จะมารับ  เมื่อเดินไปถึง  ก็เห็นฝรั่งพุงพลุ้ยตัวเท่าตู้โทรศัพท์หน้าตาใจดี  ถือป้าย "Halloween WV" มารอรับเรา เราเดินไปหาเค้า  แจ้งชื่อเรากับเพื่อนๆ  เค้าก็เชคขื่อตรงตามลิสต์ แล้วก็ให้เพื่อนฝรั่งอีกคนที่หน้าตาเนิร์ดๆแว่นหนาๆ หน้าตาท่าทางคล้าย Steve Buscemi นำทางเราลงลิฟท์มารอที่ที่จอดรถด้านล่าง แล้วบอกให้เราคอยสักครู่  เดี๋ยวพร้อมแล้วจะมาเรียก  ลงมารอประมาณ  10  นาที เค้าก็มาเรียกเราไปขึ้นรถ  ซึ่งเป็นรถบัสขนาด  29  ที่นั่ง  แต่จำนวนคนนี่สิ  มันดูแล้วเกินอะ เราสังเกตเอาคร่าวๆว่า  ผู้ร่วมเดินทางของเราที่มาขึ้นรถรอบ  14:00  นี้  มีจำนวนน่าจะไม่ต่ำกว่า 30 คน ทั้งหมดเป็นหัวดำมาจากเอเชีย  พูดภาษาจีน เรากับเซียในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการกากี่นั้งฟันธงว่า นี่คือจีนแมนดาริน หาใช่กวางตุ้งไม่ อืมมม มาจากแผ่นดินใหญ่สินะ.. เราคิด  หลายคนแต่งตัวดีแต่ดูไม่เข้ากันตามสไตล์คนจีนที่ชอบสีสันจัดจ้านแบบไม่แคร์คนไว้ทุกข์ มี4-5คนที่อายุน่าจะผ่านแซยิดไปแล้ว เรากับเพื่อนๆส่งกระแสจิตคุยกันเบาๆว่า  แย่แล้วกู  มาเที่ยวถึงโรมาเนียกูก็หนีเพื่อนอาม่ากูไม่พ้นชิมิ?!?! ปาร์ตี้ฮาโลวีนในปราสาทยุคกลางอายุกว่า 5 ร้อยปี คงไม่เปิดเพลงเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ให้กูเต้นชิมิ ชุดแฟนซีของเหล่าอาอึ้มอาผ่อ คงไม่ใช่ชุดโปเยโปโลเยใช่มะ?!?!  ... ความนอยด์เริ่มปะทุ!!!

และมันก็เป็นไปตามคาด คือรสบัสไม่พอนั่ง  ที่เก็บกระเป๋าใต้รถก็ดูจะไม่พอ  เพราะแต่ละคนเอากระเป๋ามากันไม่น้อย  แต่เราโชคดีที่เป็นคนนอก  หมายถึงเป็นคนไทย  4  คนที่แตกต่างจากกลุ่มคนจีนที่เหลือ  พ่อ Steve Buscemi จึงบอกให้เราไปกับเค้า  แยกไปต่างหากด้วยรถของเค้า ซึ่งเราดีใจมาก  555 เลวมะ  ส่วนกระเป๋าจะไปกับรถบัส  แล้วไปเจอกันที่โรงแรม  เราตกลงกับทางเลือกนี้  เพราะคิดว่า ดีกว่าอัดกันไปบนรสบัสที่ไม่น่าจะนั่งพอ  หรือต้องรอรถรอบถัดไปคือ 16:00 

รถของตา Steve เป็นรถ Opel สักรุ่นนึงที่เราไม่รู้จัก เพราะบ้านเราไม่มียี่ห้อนี้มาทำตลาดชาติกว่าแล้ว  รถที่นี่เป็นแบบพวงมาลัยซ้ายแบบยุโรป Steve บอกว่า น่าจะใช้เวลา 1 ถึง 1:30ชม. จะถึงโรงแรม  ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพการจราจร วันนี้เป็นวันคนทำงานรถน่าจะติด  เราอ่านป้ายจราจรบอกว่า อีก  16 ไมล์ จะถึงบูคาเรสต์ โอเค งั้นก็ชมเมืองระหว่างทางกันไป



ระหว่างทางเราก็สังเกตบ้านเมืองที่นี่ เราพบว่า จากการมองแบบไวๆผาดๆ  เมืองยังไม่มีตึกสูงเลย  เป็นพื้นที่โล่งๆ เป็นทุ่งกว้างๆ  คล้ายๆที่ดินริมถนนแถวๆบางนา-ตราด  แต่ก็มีทุกอย่างที่บ้านเรามีตามสมัยนิยม  มี KFC McDonald แบบ Drive through แปปนึงก็จะเห็น Mega Mall ใหญ่โตประมาณเมก้าบางนาบ้านเราอยู่ริมวงแหวน มีอีเกีย มีคาร์ฟูร์ มีสวนน้ำ  เออ .. ก็เจริญนะ คนที่นี่ขับรถมารยาทปานกลาง คือไม่แย่น่ากลัวเหมือนที่เมืองจีน  แต่ก็ไม่สุภาพช้าสนิมสร้อยเหมือนญี่ปุ่น  เป็นอารมณ์เร็วประมาณบ้านเราแต่เคารพกฎจราจร

ประมาณครึ่งชม. รถก็เริ่มติด  .. เอ๊ะ?! นี่คือถึงไหนแล้ว  Steve บอกว่า นี่เราถึงเมืองบูคาเรสต์แล้วนะยูว์ วันนี้รถไม่ติด ข้างหน้าเนี่ย ประตูชัยละยูว์ เราก็ห๊ะ? ไหนมึงบอกว่าชมกว่าๆ  นี่มันครึ่งชม.เอง ถึงละหรา  เออ... ถึงเมืองละจริงๆ เรานั่งผ่านประตูชัยหรือ Arcul de Triumf หรือ The Triumphal Arch ประตูชัยที่สร้างขึ้นในสมัยที่ชนะสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เมื่อปี 1922 โดยมีต้นแบบมาจากประตูชัยที่กรุงปารีส แต่เล็กกว่าเท่านึง  ปัจจุบันประตูชัยนี้จะใช้เป็นที่ประกอบพิธีสวนสนามในวันชาติโรมาเนีย คือวันที่  1 ธันวาคมของทุกปี ... แต่ ที่เราเห็น คือประตูชัยที่มีผ้าคลุมไว้ !!! Steve บอกว่า ประตูชัยกำลังซ่อมแซมให้สวยอยู่ รอฉลองวันชาตินะยูว์  ยูว์มาเร็วไปนิดนึงอะ  .. ค่ะ Steve เดี๋ยวขั้นจะมาใหม่นะ วันพระไม่ได้มีหนเดียว จำไว้! 



เราเดินทางมาอีกไม่นาน ประมาณ 15:20 ก็ถึงโรงแรมที่พักของเรา InterContinental Bucharest ซึ่งตั้งอยู่ที่จุดศูนย์กลางเมือง บูคาเรสต์ ที่เรียกว่า Piata Universitatii หรือ University Square จตุรัสกลางเมืองที่กลางจริงๆ กลางขนาดที่หลักกิโลเมตรที่ 0 ของประเทศโรมาเนียแห่งนี้ ก็มาปักอยู่ที่ถนนตรงข้างหน้าโรงแรมเลยว่างั้นอะ 


เราลงรถก็เข้าไปที่ลอบบี้ เพื่อพบกับ Host ของทริปนี้ ซึ่งนางชื่อ Artemis Tsichlia เป็นสุภาพสตรีชาวกรีซ  ซึ่งทาง DreamTrips ก็ตั้งโต๊ะ Reception ถัดไปจาก Front desk นิดนึง นอกจาก Artemis แล้ว ก็มีไกด์อีกคนชื่อ Herman เป็นชายชาวจีนฮ่องกงนั่งอยู่ด้วยกัน คิดว่าจัดมาเพื่อชาวจีนที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้โดยเฉพาะ ทั้งคู่เริ่มทักทายเราอย่างเป็นกันเองว่า "หนีห่าว!!!!!" เอิ่ม ... มันเป็นอะไรที่หนีไม่พ้นสินะ  เพราะ DNA มันอยู่บนหน้าจริงๆ พวกเรารีบตอบกลับด้วยภาษาอังกฤษแบบทันควันว่า " We are not CHINESE , please speak Enlish with us " นี่คือประโยคทองคำของนักเดินทางยุคนี้เลยนะ  จำไว้ให้จงดี  เพราะไม่ว่าเราจะไปเที่ยวที่ไหนก็ตามในโลกนี้ เมื่อเค้าเห็นว่าเราหัวดำผิวเหลือง พวกเขามักจะสรุปเอาแบบเหมารวมว่า เราคือชาวจีนเสมอ 



เมื่อพูดคุยกันได้พอเข้าใจแล้ว Artemis ก็นำตารางการท่องเที่ยวและเวลานัดหมายมอบให้เราแล้วก็แจ้งเราว่า ให้เราไปเชคอินที่ front desk ของโรงแรมได้เลย แล้วคืนนี้ เวลา 20:00 (เวลาที่นี่ ช้ากว่าบ้านเรา  5 ชม.) จะมี Welcome party ที่โรงแรมสำหรับพวกเราชาว Dreamtrippersให้มาจอยกัน มีบริการเครื่องดื่มทั้งเบียร์ แอลกอฮอล์ ซอฟท์ดริ้งค์ และไวน์แบบดื่มไม่อั้น  1  ชม. และในเวลคั่มพาร์ตี้  จะมีการแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับทริปเพิ่มเติมด้วย โดย Welcome Party นี้ไม่ได้อยู่ในหมายกำหนดการ แต่ก็ดี  ถือเป็น extra ให้กับเราได้สนุกสนานเพิ่มเติม  คนที่ชอบดื่มน่าจะพอใจไม่น้อย  และเรามองว่าน่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่จะทำให้เรามีโอกาสได้ทำความรู้จักกับผู้ร่วมเดินทางคนอื่นๆที่มาจากทั่วโลกด้วย เพราะต้องเที่ยวด้วยกันตั้งหลายวัน รู้จักกันเบาๆก่อนก็ไม่เสียหาย 


ห้องที่เราพัก เป็นแบบ Superior Twin / Double ขนาด ซึ่งเป็นห้องแบบที่ดีที่สุดก่อนที่จะกระโดดไปที่ห้องสวีตหรือห้องสูท  เราได้อยู่ชั้น  16 (อานนกับเซีย) กับ 17(เรากับแพม) ห้องไม่ติดกัน  แต่เราขี้เกียจเรื่องเยอะเปลี่ยน โรงแรมมี  22 ชั้น  ชั้น 19-20 เป็นสวีตกับสูท 21-22 เป็นห้องจัดเลี้ยง สระว่ายน้ำ ฟิตเนสและ exclusive club ของ InterContinental โรงแรมมีลิฟท์หลัก  6  ตัว เราพบภายหลังจากการพักที่นี่ 4 คืน 5 วันว่า ลิฟท์ที่นี่เร็วมาก  เราไม่เคยต้องรอลิฟท์นานเกิน  15  วินาทีเลย แม้แต่ช่วง Breakfast ที่คนจะต้องใช้ลิฟท์เยอะมากๆก็ตาม 

ห้องมีขนาดใหญ่มากพอที่จะวางกระเป๋าเดินทางแล้วเปิดรื้อของได้อย่างไม่แคร์สื่อ ทีวีจอแบนขนาด  32  นิ้ว มีทีวีสากลทุกช่องครบครัน CNN HBO MTV VH1 NHK CCTV คือมีหมดนะ โต๊ะแต่งหน้า ตู้เย็น กาน้ำร้อนครบ WiFi ฟรี ความเร็วไม่ธรรมดาดูยูทูปสบาย ที่นี่ไม่มีบลอคอะไร เล่นเฟสบุ๊ค เล่นไลน์ได้ปกตินะครับ ห้องมีระเบียงขนาดใหญ่เท่าพรมโยคะ  4  ผืนให้ออกไปหายใจสวยๆ เตียงเป็นขนาด  4 ฟุต หนามาก ผ้าปูและเครื่องนอนมาตรฐานโรงแรม 4-5 ดาว แต่หมอนขนเป็ดค่อนข้างเบาบางไปหน่อยสำหรับเราที่ชินกับหมอนหนาสูง  แต่ทางโรงแรมก็มี Pillow menu ให้เลือกนะ  แต่เราขี้เกียจเรียกแม่บ้านมาเปลี่ยน  นอนได้ก็นอนๆไปเหอะ  พวกเราเป็นคนแบบนั้น ไม่ได้ชุ่ยนะ  แต่เป็นคนง่ายๆ โอเค้?!



ห้องน้ำใหญ่โตตามมาตรฐานโรงแรม 4-5 ดาว มีเครื่องใช้ให้ครบครัน ผ้าขนหนูแบบหนาใหญ่และหนักมากซึมซับดีเยี่ยม และเสื้อคลุมอาบน้ำอย่างดี  ห้องที่โรงแรม InterContinental ที่นี่จะเน้นการตกแต่งแบบหรูหราแต่ไม่ดูสมัยใหม่เท่าไหร่  คือจะชดช้อย  มีดอกมีลาย ก๊อกทองเหลือง กระเบื้องหินอ่อน มีโถล้างจิมิที่เราไม่ได้เห็นมานานมากด้วย อันนี้พีคมาก  ชอบ มันไม่ปกติดี  


นากจากนั้นแล้ว ยังมี Pillow Gift โง่ๆ น่ารักๆ เข้ากับเทศกาลฮาโลวีนให้เราคนละเซต เป็นกล่องชอกโกแลตรูปโลงศพพร้อมจดหมายต้อนรับจากดรีมทริปส์ด้วย ... ข้างในโลงมี Snickers Mars และลูกอมฟันผุมากมายบรรจุอยู่ เห้ออออ ดีนะที่ไม่บรรจุยาดมส้มโอมือมา คงเข้าบรรยากาศพิลึก


พวกเรานัดกันว่าสัก 16:00 จะลงไปเจอกันข้างล่าง  แล้วออกไปเดินสำรวจบริเวณรอบๆโรงแรมสักหน่อย เมื่อถึงเวลานัด ก็ลงไปที่ลอบบี้ แล้วก็เริ่มสำรวจกันเลย


เราออกจากโรงแรมเดินมาด้านหน้าโรงแรมแบบติดกันเลย จะเป็นที่ตั้งของ Teatrul National Bucuresti หรือโรงละครแห่งชาติ กรุงบูคาเรสต์ ซึ่งเป็นโรงละครที่ใหญ่ที่สุดในประเทศโรมาเนีย มีการแสดงมหรสพทุกวัน วันนี้ที่เรามาก็มีดนตรีคลาสสิค แล้วด้านหน้าก็มีสวนสาธารณะขนาดย่อมอยู่ด้วย  บริเวณนี้เป็นที่นิยมของเหล่านักศึกษา ที่มาจับกลุ่มเดินเล่นหรือนั่งคุยกัน เพราะใกล้กับมหาวิทยาลัยบูคาเรสต์มาก อย่าเรียกว่าใกล้เลย  เรียกว่าติดกันดีกว่า เพราะตรงข้ามโรงแรมก็เป็นตึกคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์  ถัดไปอีกตึกนึงก็เป็นคณะวิศวกรรมศาสตร์ คือตรงนี้เป็นเหมือนสยามสแควร์บ้านเราที่ติดกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อะไรประมาณนั้น พอนึกภาพออกนะ


จะบอกว่า คนที่นี่หน้าตาดีมาก  เอาคนหนุ่มสาวนะ ลองนึกภาพตามนะ คือจะมีทั้งบลอนด์และทั้งผมน้ำตาล ผู้ชายหน้าตาประมาณโลกิ น้องชายเทพเจ้าสายฟ้ามีมากมายหน้าประมาณนั้น สีตาสีผมเข้มแต่เครื่องหน้าจะอ่อนแบบฝรั่ง แล้วผู้หญิงก็ประมาณสการ์เลตวิทช์ คือคนประเทศสระเอียในยุโรปส่วนมากก็จะหน้าตาประมาณนี้ เช่น โรมาเนีย บัลแกเรีย เซอร์เบีย โครเอเชีย สโลวาเกีย เป็นต้น  ถ้านึกไม่ออกอีก ให้เอาคนอิตาลี่ที่คมเข้มชัดมาผสมกับคนรัสเซียที่บลอนด์และบาดอะ แล้วลูกออกมายังไงก็นั่นละ มาตรฐานของคำว่าชาวโรมาเนียเค้าละ แต่เน้นว่า ขายาว สูงโปร่ง 60% ดูดีพอที่จะไปเป็นนายแบบนางแบบได้  ที่เหลือก็คงทำกรรมดีมาน้อยหน่อย ก็ดีชั่วปะปน  



เราเลือกที่จะเดินไปทางทิศใต้ของเมืองเพื่อจะไปยังอีกจัตุรัสนึงที่เรียกว่า Unirii Square ซึ่งการจะข้ามถนนตรงจัตุรัสที่นี่ เราต้องมุดลงทางเดินใต้ดินเท่านั้น  บนดินเค้าไม่ให้ข้ามนะจ้ะ  ทางเดินใต้ดินที่นี่มีร้านค้า มีลานโล่งๆเอาไว้จัดนิทรรศการ มีร้านขายยา มีร้านขายของที่ระลึก และยังเป็นที่ตั้งของศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวของบูคาเรสต์ด้วยล่ะ 



พอเดินโผล่ขึ้นมาอีกฟากถนน เราก็เดินลัดเลาะไปบนทางเท้าเรื่อยๆ เราพบว่า ทางเท้าที่นี่กว้างขวางกว่าของที่กรุงเทพฯ แต่ความสะอาดนั้น  เราว่าไม่ต่างกัน  คือเลอะเทอะพอกันกับ  กทม. นะ  แต่ดีกว่าตรงที่ไม่มีร้านค้าแผงลอยมาตั้งร้านแล้วเทน้ำเสียลงพื้น 



ระหว่างทางก็จะผ่านโบสถ์ที่ชื่อ Biserica Coltei ซึ่งเป็นโบสถ์คริสเตียนออโธดอกซ์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของกรุงบูคาเรสต์ สร้างขึ้นเมื่อปี  1701 ปัจจุบันมีสถาพเก่ามาก และอยู่ในระหว่างการทำนุบำรุง  โบสถ์ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของประตูโรงพยาบาล Coltea ซึ่งเป็นโรงพยาบาลรัฐที่เก่าแก่ที่สุดของกรุงบูคาเรสต์  สร้างขึ้นเมื่อปี 1704 โดยตระกูล Vacaresti เศรษฐีผู้มั่งคั่งในยุคนั้น อาคารเป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิคที่สวยงามมาก มีนักท่องเที่ยวมากมายชอบที่จะมาแวะเวียนถ่ายรูปที่นี่ โดยเฉพาะเวลาค่ำ เนื่องจากแสงยามพระอาทิตย์ตกจะสะท้อนออกมาทางด้านหลังตึกเป็นสีส้มอร่าม ซึ่งเราก็เดินผ่านหน้าโรงพยาบาลตอนพระอาทิตย์กำลังจะตกพอดี  สวยไม่สวยดูจากรูปกันเอาเอง ทางด้านหน้าโรงพยาบาล จะมีอนุสรณ์สถาน รูปปั้นของ Mihail Cantacuzino หนึ่งในนักการเมืองผู้สนับสนุนและผลักดันระบอบประชาธิปไตยให้กับโรมาเนียในยุคคอมมิวนิสต์
[คริสเตียนออโธดอกซ์เป็นนิกายที่มีชาวโรมาเนียนับถือมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง คือมีถึง 20 ล้านคนที่นับถือนิกายนี้  และก็เป็นจำนวนที่มากเป็นอันดับที่สามของโลก รองลงมาจากรัสเซียและยูเครน]



ถ้าเรามองข้ามไปอีกฟากถนน จะเป็นที่ตั้งของ Old Town ซึ่งเป็นย่านเมืองเก่า (เราขอยกไปพูดถึงใน part หน้าที่เราจะไปเที่ยวที่นั่นอีกทีนะ) เดินต่อไปเรื่อยๆ ก็จะพบกับสถานีรถรางไฟฟ้า Piata Sf. Gheorghe  มีโบสถ์ (อีกแล้ว) เล็กๆระหว่างทางมากมาย บางแห่งเป็นถึง Historical site ที่รับรองโดย UNESCO เลยนะ ระหว่างทางก็มีร้านรวงขายอาหาร แผงลอย ร้านหนังสือ ตามทางมาตลอด คนที่นี่น่าจะรักการอ่านมากเลย เพราะร้านหนังสือเยอะมาก  และภาพรวมถือว่าเจริญกว่าที่เราคิดมากนะ คือเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ที่เพิ่งมาเป็นประชาธิปไตยแล้วมาเข้าร่วมกับสหภาพยุโรปไม่ถึง 10 ปี แต่สภาพโดยรวมถือว่าทันสมัยมาก ถึงตึกจะมีบางส่วนเก่าๆ สถาพโทรมๆ แต่ก็มีส่วนที่ใหม่ ดูทัยสมัยปะปนกันไป ผู้คนก็สะอาดสะอ้าน เป็นมิตร แทบทุกคนพูดภาษาอังกฤษได้ดี  และไม่ได้น่ากลัวหรือมีขอทาน ยิปซี โสเภณีเต็มถนนอย่างที่ใครๆว่ากัน หรือเราอาจจะยังไม่เจอไม่รู้  แต่เอาเท่าที่ได้รับรู้ในวันนี้ บูคาเรสต์ โรมาเนีย เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวหัวดำอย่างเรา รู้สึกปลอดภัยและสบายใจมากที่จะเดินริมถนนไปเรื่อยๆโดยไม่มีใครมาเดินตาม ไม่มีขอทานมาตามตื้อ หรือมีพี่มืดมาเฟียมายืนคุมถิ่น ลากเข้าร้าน เหมือนอย่างที่ปารีส หรือแม้แต่โตเกียวในย่านคาบุกิโจก็ตาม ไม่มีอารมณ์ของการถูกคุกคามทางเชื้อชาติให้ได้รู้สึกเลยแม้แต่กระพีกเดียว แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราทั้ง 4 คนรู้สึกกันอย่างแรงกล้ามาก นั่นคือเราเป็นที่จับจ้องของผู้คนที่นี่ ระหว่างทางเดิน เราจะถูกมองอย่างสนใจ เหมือนเราเป็นตัวประหลาด เราคิดว่า น่าจะเป็นเพราะชาวเอเชียยังมาเที่ยวที่นี่กันน้อยมาก จึงทำให้การปรากฎกายของคนผิวเหลืองอย่างเราดูแปลกสำหรับพวกเขา แต่โดยรวม ทุกคนก็จะมองแล้วอมยิ้ม เหมือนเห็นตัวอะไรที่น่ารัก ไม่มีใครที่มองเราด้วยท่าทีไม่เป็นมิตรเลย อันนี้ยืนยันว่ารู้สึกดีมากๆ เป็น very good impression ที่เกินความคาดหมายของพวกเราทั้ง 4 คนจริงๆ












และเราก็มาถึงจัตุรัส Unirii หรือ Piata Unirii ซึ่งเป็นวงเวียนที่ถนนสี่สายที่ใหญ่ที่สุดในบูคาเรสต์มาบรรจบกัน นึกภาพวงเวียนใหญ่บ้านเรา แต่มีห้างทุกมุมแบบราชประสงค์อะ แต่ไม่อลังเท่าบ้านเรานะ เกตนะ สารภาพว่า ที่เดินมาเนี่ย เพราะจะสำรวจบริเวณใกล้เคียงโรงแรม แต่พอมาถึงตรงนี้ดันมีห้างเจ้าค่ะ  และมีป้ายยี่ห้อที่เราคุ้นเคยดี  ทั้ง ZARA PULL&BEAR H&M ไรงิ  มีร้านดอกไม้สวยงาม เก๋กู๊ดหน้าห้าง มีเคเอฟซี แมคโดนัลด์ คือดีเลยแหละครับ เซียกับแพมเลยขอแวบเข้าไปสำรวจราคาข้าวของกันนิดนึง ในขณะที่เราปวดฉี่ เลยไปเดินหาห้องน้ำก่อน  ข้อสังเกตเรื่องห้องน้ำที่นี่ คือมันจะค่อนข้างลึกลับ และไปแอบหลบอยู่ในประตูทางหนีไฟ หรือ โซน service area มันจะไม่ชัดเจนตั้งหราเหมือนห้องน้ำในห้างบ้านเรา เราหาอยู่นานมาก ตามป้ายมาจนเจอทางหนีไฟ เราก็อ้าว?!?! ไหนอะสุขาของชั้น พอผลักประตูทางหนีไฟบานใหญ่มากออกไป ก็ถึงเจอว่า ห้องน้ำเค้ามาสร้างให้อยู่ในอีกส่วนนึงของโครงสร้างตึก แยกออกจากโครงสร้างหลัก ซึ่งหลังจากวันนี้เราก็พบว่าที่อื่นๆส่วนมากก็จะคล้ายๆกัน เป็นอะไรที่แปลกดี เราว่าคงคำนึงถึงการวางแปลนท่อน้ำดี น้ำเสียด้วย คือไม่เอาห้องครัว ห้องน้ำ ไปรวมกับอาคารหลัก  อะไรประมาณนั้นแหละ  อะอะ ไปไกลละ เดี๋ยวคนอ่านเบื่อ จะบอกว่าห้องน้ำที่นี่สะอาดปกตินะ สุขภัณฑ์ ทิชชู่ ก๊อกล้างมือ คือคือกับบ้านเรา ไม่ต้องปรับตัวอะไร พอเราฉี่เสร็จ ก็เดินเข้าไปหาเพื่อนๆที่ร้าน PULL&BEAR ซึ่งอานนกำลังลองเสื้อเจคเกตหนังอยู่ เราพบว่า ราคาของที่นี่ ถือว่าย่อมเยากว่าราคาที่ยุโรปเมืองอื่นๆ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ทุกคนได้ชอปปิ้งกันตั้งแต่วันแรกที่มาถึงกันเลยทีเดียว ยกเว้นเราที่ตั้งกฎเหล็กไม่ซื้อเสื้อผ้าเอาไว้ เพราะพิกัดน้ำหนักแบบเฮฟวี่เวตของเราตอนนี้ เรามีเป้าหมายอันแน่วแน่มา2-3 ปีแล้วที่จะลดน้ำหนัก เพราะมีเสื้อผ้าไซส์ S ที่เคยใส่ได้รอเราอยู่เต็มตู้เลย  หุหุ แน่วแน่มากกกก






ได้ของกันคนละชิ้นสองชิ้น ก็ได้เวลาที่เราควรจะเดินกลับโรงแรมเพื่อไปร่วม Welcome Party ที่จะเริ่มตอน 20:00 โดยขากลับ เราเลือกเดินอีกฟากถนนเพื่อรับชมทัศนียภาพที่แตกต่าง เราพบว่า ที่นี่มีร้านสะดวกซื้อมากมาย ที่ชื่อ Shop & Go เป็นร้านที่มีสาขาทั่วไป แต่ไม่ได้เปิด 24 ชม. แบบ  7/11 บ้านเรา โดยมากจะเปิด 7:00-22:00 มีเพียงบางสาขาเท่านั้นที่จะเปิด 24 ชม. เราจึงเข้าไปสำรวจสินค้ากันเบาๆ และจะได้ซื้อน้ำดื่มเข้าไปที่โรงแรมด้วย 


เราพบว่า ราคาสินค้าอุปโภค บริโภคที่นี่นั้น ถูก!!! คือถูกเหมือนอยู่กรุงเทพ น้ำแร่ขวด1.5ลิตร ราคา 2.2LEI ก็ 25 บาท .. โคคาโคล่ากระป๋องละ 1.89 LEI ก็ 19 บาท น้ำผลไม้ ต่างๆประดามีก็ราคาเหมือนบ้านเราเลย คุณพระ ... นี่ทำให้เราชอบประเทศนี้มากขึ้นมาอีก ไอ้ที่กินที่สนามบินไปนั่นคือราคาสนามบิน พอเข้าเมืองมา ของทุกอย่าง  ราคาเหมือนใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพเลยครับ ดีอ่ะ เก็บคะแนนตรู๊ดดดตรู๊ดดดด ^^ 





ระหว่างทางก็จะเจอที่รับแลกเงินตามรูป ซึ่งเรตก็ไม่เลวเลย เผลอๆจะดีกว่าที่สนามบินด้วย เพราะฉะนั้น เราขอแนะนำอีกครั้ง ว่าให้มาแลกเงินในเมืองดีกว่า เรตจะได้สูงกว่าที่สนามบินประมาณ .3-.5 เลย 



ร้านขายขาก็มีทั่วไป คล้ายๆวัตสันขนาดย่อมๆบ้านเรา แล้วก็มีร้านขนมปังแบบในรูปอยู่ทั่วไป ราคาย่อมเยามากๆด้วย ชิ้นละ 10-30 บาท เท่านั้นเอง โอ็ยยย ดีอ่ะ



พวกเราดูเวลาแล้ว ยังมีเวลาอีก 45 นาที เราเลยคิดว่า แวะหาอะไรกินดีกว่า เพราะ Welcome Party คงจะมีแค่เครื่องดื่ม และพวกเรายังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่มาถึงที่นี่ เราเดินมาเจอเข้ากับร้านอาหารร้านนึง (ภายหลังทราบชื่อว่า ชื่อร้าน La Placinte เป็นร้านอาหารโรมาเนียสไตล์อิตาเลี่ยนโง่ๆของคนที่นี่ ที่เป็นเฟรนไชส์ มีสาขาทั่วประเทศ) สารภาพแบบไม่สนใจใครเลยว่า พวกเรามั่วเข้าไปกินกันเลยล่ะ โดยคิดแค่ว่า ดูเมนูแล้ว มีสลัด มีซุป มีพิซซ่า มีพาสต้า หน้าตาร้านดูไม่เลว ก็เสี่ยงดู เข้าไปก็พบบริกรหนุ่มหน้าตาดีมาก(อุ๊ปส์) พูดภาษาอังกฤษได้ดี พาเราไปนั่ง แล้วเราก็สั่งอาหารกันอย่างรวดเร็ว เพราะเมนูมีภาษาอังกฤษกำกับคู่กับภาษาโรมาเนียนด้วย ทุกอย่างสะดวกสบายกว่าที่คิดไว้จริงๆ ชั้นชอบประเทศนี้จัง อาหารที่สั่งมา ทั้งพิซซ่า สลัด หรือแม้แต่น้ำมานาว ทุกอย่างรสชาติอร่อยมาก ถูกปากคนไทยเลย รสจัด เข้ม และที่สำคัญ ราคาครับ อีกแล้วอะ เราชอบประเทศนี้จัง เพราะราคาอาหาร ไม่แพงเลย พิซซ่าถาด 8" ราคา 24.59LEI เท่ากับ 246 บาท  สลัดราคา 13.59 LEI ก็ 136 บาท ราคาประมาณนี้เลย เราว่าไม่ต่างกับการกินข้าวที่ร้านอาหารบ้านเราเท่าไหร่ เผลอๆอาจจะถูกกว่าด้วยซ้ำ ถ้าเทียบกับคุณภาพของวัตถุดิบ พวกเราถึงกับพยักหน้าแรงพร้อมกันเลยว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้คิดอะไรไม่ออก กลับมากินร้านนี้อีกดีกว่า  555 โอเค กินอิ่มแล้วก็เดินต่อกลับโรงแรม




มาถึงโรงแรมตอน 20:00 พอดี ก็ขึ้นห้องไปเก็บของ แล้วก็ไปที่ Welcome Party ต่อเลย โดยจัดที่ห้องจ้ดเลี้ยงชั้น 21 เมื่อเราขึ้นมาถึง โดยเลยเวลานัดพบมานิดหน่อย ก็พบว่า มีสมาชิก DreamTrips สำหรับทริปนี้เต็มห้อง กะคร่าวๆจากสายตา น่าจะไม่ต่ำกว่า  50  คน ... กว่า 70% เป็นคนเอเชีย ที่เหลือก็เป็นฝรั่งหัวทอง 

พวกเราก็เข้าไปยืนจับจองพื้นที่ สั่งเครื่องดื่มมา ซึ่งจะบอกว่า บริกรที่นี่ ชงเครื่องดื่มหนักมาก วอดก้าน้ำส้มโง่ๆของเรา ฮีเทวอดก้า 1/2 ของแก้ว เลย พอสั่ง Whiskey Soda ฮีก็ เทเหล้าครึ่งแก้ว โอยย รุนแรงมาก เราไม่สู้  เลยบอกให้ฮีเบาๆมือหน่อยในแก้วถัดๆไป ปาร์ตี้ก็มีการจับฉลากกันขำๆ เราจับได้ Sparkling wine มาหนึ่งขวด เซียได้ชอกโกแลต ส่วนอานนกับแพม ไม่พกดวงมา อด! แล้วก็มีการเป่าเค้กวันเกิดให้พวกเราที่เกินในช่วงวันที่มาเที่ยวพอดี ซึ่งก็มีหลายคนเลย ก็เฮฮาปาจิงโกะกันไป ระหว่างนั้นก็มีการทำความรู้จักกับคนที่ยืนใกล้ๆกันบ้าง โดยเราพบว่า มีชาวมาเลเซียกลุ่มใหญ่มากๆ มาร่วมดรีมทริปส์นี้ มีชาวญี่ปุ่น 1 คน ชื่อคุณยูโกะ มาแบบฉายเดี่ยว มีชาวสวีดิช มากัน 2 คู่ ชื่ออะไรยังไม่ได้ถามวันนั้น  และมีชาวอเมริกัน 4 คน และไต้หวันอีก 2 คน และฮ่องกงอีก 6 คน นี่คือคร่าวๆเท่าที่เดินทักทายกัน  Host ของเรา คุณ Artemis ก็ประกาศถึงข้อมูลที่ต้องรับรู้ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นวัน เวลาที่รัดหมาย และกำหนดการต่างๆ อาหารเช้า และรายละเอียดยิบย่อย ซึ่งจริงๆเราก็มีแผนกำหนดการแบบกระดาษที่ได้รับมาแล้ว ถ้ามีวินัยหน่อยก็ปฏิบัติตามนั้น จะไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน เมื่อถึงเวลาอันควร ปาร์ตี้ก็จบลง ณ เวลา 22:15 นาที สรุปดื่มกันไป 2 ชม. สาวแพมดื่มไวน์แดงไป 6 แก้ว เมาสิคะ แล้วพอนางเมา นางจะพูดเป็นต่อยหอย ภาษาอะไรก็ว่ามา พูดจนคุณลุงลียงจากมาเลเซีย แทบจะขอเอาไปเป็นสะใภ้เลยทีเดียว 555 




เอาละ กลับห้องๆ พรุ่งนี้เราต้องตื่นเช้าๆมาดูบรรยากาศเมืองบูคาเรสต์ในเช้าวันแรกของทริป และที่สำคัญคือ Breakfast ที่เราต้องโฟกัส เพราะเป็นมื้อสำคัญที่สุดของนักเดินทางอย่างเรา ถ้าอาหารเช้าดี เราจะมีพลังเที่ยวทั้งวันแบบไม่แรงไม่ตก อันนี้จริงที่สุดนะครับ อ้อ ที่โรงแรมนี้ ทุกๆคืนสักประมาณ 4 ทุ่ม จะมีพนักงานเอากระดาษบอกสภาพอากาศของพรุ่งนี้มาสอดให้ที่ช่องประตูครับ น่ารักดี กู๊ดไนท์คร้าบบบบ





ขอจบ -Part2- เอาไว้ตรงนี้ 
ขอบคุณที่ติดตาม 
เราจะรีบกลับมาเล่าตอนต่อไป ฝากติดตามอ่าน กดแชร์ลงเฟสบุ๊คกันด้วยนะครับ 

>>สรุปค่าใช้จ่ายวันนี้ ราคาต่อคน<<
- ค่าอาหารที่สนามบิน 49 LEI = 490 บาท
- ค่าอาหารมื้อเย็นที่บูคาเรสต์ 40 LEI  = 400 บาท
- ค่าน้ำแร่ 2.2 LEI = 22 บาท 











1 comment: